วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

Chaconne

Chaconne
Chaconne เป็นชนิดของการประพันธ์เพลงแบบ Variation form (โครงสร้างของเพลงที่ใช้การแปรเป็นสำคัญ) เป็นเพลงที่มีการแปรทำนองบนคอร์ดที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา โครงร่างของการประพันธ์คือ มีการแปรทำนอง, มีการตกแต่งประดับประดา, มีส่วนย่อยรอง หรือที่เรียกว่า Figuration (คือส่วนเล็กๆของทำนองที่ประกอบด้วยโน้ตไม่กี่ตัว มีลักษณะขึ้นลงชัดเจน) และการพลิกกลับของทำนอง
เป็นเพลงแปรทำนองประเภทของเพลงเต้นรำหรือบทเพลงบรรเลงของฝรั่งเศส จังหวะค่อนข้างช้าในอัตราจังหวะสามสี่ เป็นรูปแบบหนึ่งของการแปรในทำนองเดียวกับ Passacaglia ซึ่งมีจังหวะช้ากว่าเล็กน้อย Chaconne มีแนวเบสยืนพื้นหรือการดำเนินคอร์ดยืนพื้น (Chord progression) ความยาวประมาณ 8 ห้อง ซึ่งเล่นซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่อง Chaconne แพร่หลายมากในยุค Baroque ถือกำเนิดในประเทศสเปนช่วงปลายศตวรรษที่16 เป็นเพลงเต้นรำที่ต้องเต้นอย่างรวดเร็วมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉง และมีเนื้อเพลงที่มีการล้อเลียน เครื่องดนตรีที่ใช้นั้นประกอบด้วย Guitar หรือ Tambourine แล้วมีการเผยแพร่เข้าไปในประเทศอิตาลี การดำเนินคอร์ดที่นิยมใช้คือ I-V-vi-V ในสัดส่วนของโน้ต 3 พยางค์ 2 กลุ่ม หลังจากนั้นก็ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วทวีปยุโรปโดยก่อนศตวรรษที่ 18 Chaconne ค่อยๆพัฒนากลายเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะช้าลงเป็น 3 เท่า

หลังจากที่ฝรั่งเศสได้รับรูปแบบเพลง Chaconne มาจากอิตาลีแล้ว ในช่วงศตวรรษที่17 และ18 ได้มีการพัฒนา Chaconne ให้มีความหรูหราและเป็นทางการ และมีการควบคุมโครงสร้างมากขึ้น มีการใช้แสดงในโรงมหรสพ ประกอบการเต้นรำที่มีชื่อ เสียงมากในผลงาน Tragédies lyriques ของ Jean-Baptiste Lully ซึ่งใน Chaconne ของ ฝรั่งเศสนี้มักจะมีรูปแบบของ Rondeau(เพลงที่มีลักษณะการย้ำทำนอง) และ Variation(การแปรทำนอง) ผสมอยู่ ด้วย

ที่เยอรมันตั้งแต่ผลงานของ Heinrich Schütz เป็นต้นมา ที่มีการประพันธ์แบบ Chaconne ประกอบอยู่ในบทเพลง และมีการใช้ Ground-Bass(แนวเบสต่อเนื่อง) Ostinato(แนวซ้ำยืนพื้น) อย่างแพร่หลาย การประพันธ์รูปแบบ Chaconne ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ได้แก่ท่อน final movement ของ Violin Partita in D minor ของ Johann Sebastian Bach นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน ซึ่งมีความยาวถึง 256 ห้อง และมีการพัฒนาท่อนหลักยาว 4 ห้อง ไปในคีย์ Major และ minor

หลังจากปี 1740 Chaconne นั้นได้รับความนิยมมากกว่า Passacaglia ซึ่งมักถูกนำไปแต่งเพลงสำหรับเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว และ Chamber music และหลังจากยุคบาโรคมา การประพันธ์เพลงแบบ Chaconne ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก รวมถึงดนตรีในศตวรรษที่19ที่มีการใช้ Chaconne และ Passacaglia ในเพลงแต่มักจะถูกเรียกเป็น ostinato variations แทน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น